
เสริมคางทำให้ใบหน้าส่วนล่างเรียวได้สัดส่วนมากขึ้น สามารถทำการเสริมให้ไปทางด้านหน้า (ในคนที่คางถอยไปด้านหลัง) หรือเสริมให้ลงด้านล่าง (ในคนที่คางสั้น)
การเสริมทำได้สองทาง
-
เสริมทางแผลเล็กใต้คาง :
ข้อดี คือ ไม่ต้องมีแผลในปาก หลังทำกินอาหารได้ตามปกติ ดูแลแผลง่าย
ข้อเสียคือมีแผลเป็นที่ใต้คาง โดยรอยแผลจะแข็งและมีสีเข้มเห็นได้ใน1-2 เดือนแรก และจะค่อยๆนิ่มและสีจางลงเรื่อยๆ จนมองเห็นไม่ชัดหลังจาก 6 เดือน
-
เสริมทางแผลในปาก : จะมีแผลยาวประมาณ 2 ซม. บริเวณหน้าต่อขอบเหงือกล่าง
ข้อดี คือ ไม่มีแผลให้เห็นบริเวณใบหน้าเลย
ข้อเสีย คือ หลังทำดูแลแผลยากกว่า ต้องรับประทานอาหารอ่อนๆ 1-2 สัปดาห์ และต้องรักษาความสะอาดในปากดีๆ มีโอกาสติดเชื้อมากกว่าการเสริมจากแผลนอกปากเล็กน้อย
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด

1. ควบคุมโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือด และโรคความดันโลหิต
**ไม่ควรผ่าตัดในช่วงที่มีภาวะเจ็บป่วย หรือมีการติดเชื้อของผิวหนังบริเวณที่จะผ่าตัด
2. ยา รับประทานยารักษาโรคประจำตัวได้ตามปกติ ยกเว้น หากทานยากลุ่ม แอสไพริน ยาแก้ปวด (เช่น Ibuprofen Diclofenac) ฮอร์โมน วิตามิน อาหารเสริม สมุนไพรต่างๆ ควรงด 1 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด
**หากรับประทานยาที่ยับยั้งการแข็งตัวของเลือด ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้ยาก่อนทุกครั้ง
3. การรับประทานอาหาร การผ่าตัดที่ใช้การฉีดยาชาเฉพาะที่ ไม่จำเป็นต้องงดอาหารและน้ำ ทานได้ตามปกติ ในปริมาณที่พอเหมาะ
4. การดูแลตัวเองและอื่น ๆ งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนและหลังการทำผ่าตัด ควรสระผมมาก่อน ไม่แต่งหน้าในวันที่ผ่าตัด
หมายเหตุ
** การนัดหมายวันผ่าตัด ควรนัดในช่วงเวลาที่ท่านสะดวกมาติดตามอาการ โดยจะมีการนัดติดตามในช่วง 1-2 สัปดาห์ หลังการผ่าตัด
การดูแลตนเองหลังผ่าตัด
-
ประคบเย็นทันทีอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงหลังผ่าตัด โดยใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาและไม่เปียกน้ำ บริเวณที่ทำการผ่าตัด
-
นอนยกหัวสูงหรือนั่งหลับในช่วง 48 ชั่วโมงหลังการผ่าตัดจะช่วยลดอาการบวมได้
-
หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง 2 สัปดาห์
-
หลีกเลี่ยงการโดนน้ำ
ในกรณีลงแผลใต้คาง: ไม่ควรให้แผลผ่าตัดโดนน้ำในช่วงเวลา 3 วันหลังผ่าตัด
ในกรณีลงแผลในปาก: แผลโดนน้ำได้ตามปกติ -
การทำความสะอาดใบหน้า
ในกรณีลงแผลใต้คาง: ควรใช้กระดาษซับมันซับใบหน้า หรือสําลีชุบน้ำอุ่นเช็ดทั่วใบหน้าแล้วซับให้แห้ง ในช่วง 3 วันหลังผ่าตัด
จากนั้นในวันที่ 4 เป็นต้นไป สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และใช้สบู่ล้างบริเวณแผลผ่าตัดได้
ในกรณีลงแผลในปาก: ล้างหน้าได้ตามปกติ -
การทำความสะอาดแผลผ่าตัด
ในกรณีลงแผลใต้คาง: ในช่วง 3 วันแรก สามารถปิดพลาสเตอร์ทิ้งไว้โดยไม่ต้องลอกออก
จากนั้น ในวันที่ 4 ให้ลอกพลาสเตอร์ปิดแผลออก และทำความสะอาดบริเวณแผลผ่าตัดด้วยไม้พันสำลีจุ่มน้ำเกลือทุกวัน จากนั้นให้ป้ายยาลงบนแผลหลังจากทำความสะอาด เช้า-เย็น โดยให้มียาเคลือบบนแผลอยู่ตลอดเวลา
ในกรณีลงแผลในปาก: บ้วนปากบ่อยๆ ด้วยน้ำยาบ้วนปากผสมน้ำเกลือ แปรงฟันได้ตามปกติ แต่ระมัดระวังการกระทบบริเวณแผล -
หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งบริเวณคาง
-
หากมีอาการคันหรือเคืองตา สามารถรับประทานยาแก้แพ้ได้ และหลีกเลี่ยงการไอจามที่รุนแรงเพื่อป้องกันภาวะเลือดออกหลังผ่าตัด
-
รับประทานอาหารอ่อนๆ และควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ วิตามินอาหารเสริม อาหารทะเล และของหมักดอง ประมาณ 1 สัปดาห์
การรับประทานยา
1. ควรรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่องจนหมด ไม่ควรซื้อยามารับประทานเองเพิ่ม ยกเว้น ยาแก้ปวดพาราเซตามอน
2. หากผู้ป่วยมีอาการข้างเคียงจากยา กรุณาแจ้งแพทย์
การนัดตรวจติดตาม
1. ควรมาตรวจตามในวันที่แพทย์นัด (ประมาณ 1 สัปดาห์หลังการผ่าตัด) เพื่อประเมินผลของการผ่าตัด และพิจารณาเรื่องการตัดไหม
2. หลังจากแผลปิดสนิทและตัดไหมแล้ว จำเป็นต้องดูแลแผลต่อเนื่อง หลีกเลี่ยงแสงแดด และนวดรอยแผลจากหัวตาไปหางตาเบาๆ เพื่อให้แผลนิ่ม ทั้งนี้แผลจะค่อยๆดีขึ้นจนเข้าที่ในเวลา 3-6 เดือน
อาการที่เกิดขึ้นได้
1. อาการบวมเกิดขึ้นได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์หลังผ่าตัด (และอาจบวมมากในช่วง 3-4 วันแรก) จาก นั้นอาการบวมจึงจะค่อยๆยุบลง โดยเวลาที่ใช้ในการยุบบวมจะแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
2. อาการฟกช้ำในช่วง 3-7 วันแรกได้
3. อาการเลือดซึมบริเวณแผลผ่าตัด มีได้ในช่วง 2-3 วันแรก เป็นอาการปกติ แต่หากมีเลือดออกมาก กรุณาปรึกษาแพทย์
หากมีอาการอื่นๆ สามารถแจ้งอาการกับทางคลินิกได้ทันที